เร็วๆนี้ผมพบว่า เมื่อมีอะไรที่สับสนค้างคาอยู่ในใจ จะมีหนังสือหรือข้อความบางอย่างรอให้เราไปอ่านเจออยู่เสมอ เล่มที่ไม่คิดจะเคยหยิบอ่านก็มาวางอยู่ตรงนั้น ราวกับมีอะไบางอย่างอยู่ข้างๆคอยหยิบกำลังใจให้เราเสมอ
ต้นไม้ ใบหญ้า ลมพัดอ่อน หรือเสียงกระดิ่งลม สิ่งเหล่านี้ผมเพิ่งมาสำนึกว่าต่างเป็นครู เป็นอาจารย์ อะไรก็ได้ที่ทำให้เราตื่นจากความฝันลวงตา แม้จะเป็นการเคี่ยวกรำของความทุกข์ยากก็ตาม
เมื่อเห็นท้องฟ้า ได้สัมผัสแสงแดดและอากาศโดยไม่มีกลิ่นยาเจือครั้งแรกหลังจากนอนโรงพยาบาลที่รักถึงสองสัปดาห์ ผมรู้สึกถึงความดีใจของตัวเองน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ -- โลกไม่ได้สดใส มันหม่นของมันอย่างนั้นมานานแล้ว ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็นมีผู้คนที่ยังลำบาก บางคนก็เจ็บป่วย บางคนก็ทุกข์ใจไร้ทางออก มีชีวิตที่ต้องดิ้นรนอยู่ใต้ผืนผ้าสีฟ้านี้มากมายเหลือเกิน
ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า ต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าตัวเรามันผิดพลาด มันมีอะไรให้ต้องปรับปรุง ผมไม่คิดว่าชีวิตนี้มีอะไรให้ควรค่าแก่การทรมาณอยู่บนโลกแสนสาหัสนี้มากนัก แต่ถ้าปอดยังทำงานสูบลมหายใจเข้า-ออกอยู่ ก็ควรจะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ที่สุด ผมมีหลายสิ่งทำผิด บางครั้งก็ไม่มีโอกาสแก้ไข มีหลายครั้งที่จ้องมองคาดโทษแต่ความผิดผู้อื่น และเรามักจะให้อภัยกับความผิดของเราเองอยู่เสมอ
แต่ชีวิตเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ และเราเป็นผู้กำดวงชะตานั้น แน่นอนว่ามันจะหนักและยาก แต่ผมก็ได้เรียนรู้จากเท้าที่บาดเจ็บว่า เดินช้าๆ อาจเซบ้าง แต่เดี๋ยวก็ถึง
ขอให้คนที่มีความทุกข์ยากในโลกนี้ ถ้าเผลอมาอ่านเข้าน่ะนะ ก็สู้กับมันต่อไปเถิด ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ สักวันก็ต้องได้เจอกับเรื่องดีดีแน่ๆ
หลายปีก่อน บล็อกของผมยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์เหงา เคว้งคว้าง ล่องลอย อ้างว้าง ในลักษณะที่วัยรุ่นเปลี่ยวใจเขาทำกัน
ต่อจากนี้ ผมตั้งใจว่าสิ่งที่ผมเขียน งานที่ผมทำ ขอตั้งหลักจุดหมายหนึ่งในการทำคนให้มีความสุขขึ้น สบายใจขึ้น ลดความทุกข์ยากลง และได้ "ตื่น" อย่างที่ผมได้รับจากใครสักคน อะไรสักอย่าง ที่หยิบยื่นหนังสือมาให้ได้อย่างเหมาะเจาะกับช่วงเวลายากลำบากมาก่อน
เราก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ "สัพเพ สัตตา" สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เท่านั้นเอง